วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

การปลูกพริก

                การปลูกพริกในประเทศไทยสามารถปลูกได้ตลอดปี  ถ้ามีน้ำอุดมสมบูรณ์  หรือปลูกในฤดูฝนก็ได้  พริกสามารถปลูกได้ทุกภาคทุกจังหวัด  ทั้งนี้เนื่องจากพริกมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปอเมริกาและมีการแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ  ของโลก  จังหวัดที่ปลูกพริกกันเป็นพื้นที่มาก  ได้แก่  กาญจนบุรี,  ประจวบฯ,  เพชรบุรี,  สมุทรสาคร,  สุโขทัย,  สุพรรณบุรี,  เชียงราย,  น่าน,  ลำปาง,  เชียงใหม่  ฯลฯ  พริกที่ปลูกกันได้แก่  พริกบางช้าง,  พริกสันป่าตอง,  พริกชี้ฟ้า,  พริกขี้หนูเม็ดใหญ่  เป็นต้น
การปลูก
                การปลูกพริก  อาจเลือกปฏิบัติได้  3  วิธี  ตามความเหมาะสม  คือ 
                1.  โดยวิธีการใช้เมล็ดพริกหยอดเมล็ดโดยตรงในหลุม  หลุมละ  3-5  เมล็ด  เมล็ดพริกหวานเปอร์เซ็นต์ความงอก  80% ใช้เมล็ด  60-90  กรัม/ไร่  นิยมปฎิบัติในแปลงปลูกขนาดใหญ่  และไม่มีแรงงานเพียงพอในการย้ายต้นกล้า  จุดอ่อนของการปลูกโดยวิธีนี้คือ  ต้นพริกอ่อนแอ  อาจจะถูกมดและแมลงอื่น ๆ  กัดกินใบ  ทำให้สิ้นเปลืองเมล็ดพันธุ์  และเสียเวลาในการปลูกซ่อม
                2.  เพาะเมล็ดพริกให้งอกแล้วนำไปปลูกในหลุม  กลบด้วยดินบาง ๆ  วิธีเพาะคือ  นำเมล็ดพันธุ์แช่น้ำ  แล้วเอาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ  ห่อ  ทิ้งไว้ประมาณ  2  วัน  เมล็ดจะงอกแล้วนำไปปลูก
                3.  เพาะเมล็ดในแปลงเพาะก่อน  แปลงเพาะกล้าควรใส่ปุ๋ย  15-15-15  ปริมาณ  100  กรัมต่อตารางเมตร  คลุกดินลึกประมาณ  5-8  นิ้ว  ควรใช้ฟูราดานในการเพาะด้วยเมื่อหว่านเมล็ดแล้วประมาณ  10  วัน  เมล็ดเริ่มงอก  ถ้ามีต้นหนาแน่น  ให้ถอนแยกหลังจากที่ใบจริงคลี่เต็มที่แล้ว        2-3  วัน  เมื่อกล้าอายุได้  18  วัน  รดด้วยปุ๋ยแอมโมเนียซัลเฟตละลายน้ำ  อัตราส่วน  1  กรัมต่อน้ำ  200  ซีซี.  แล้วรดน้ำตามทันที  การเพาะโดยวิธีเพาะโดยเมล็ดธรรมดาที่ยังไม่งอกวิธีนี้ควรคลุกยาป้องกันกำจัดเชื้อราที่อาจติดมากับเมล็ดก่อนนำเมล็ดไปเพาะได้แก่  ออไธไซด์  และในแปลงเพาะควรจะรดด้วยไดโฟลาแทน  80  หรือไดเทน  เอ็ม  45  เพื่อป้องกันโรคเน่า
                เมื่อกล้าสูงประมาณ  6  นิ้ว  จึงพร้อมจะย้ายปลูกได้ รวมอายุกล้าในแปลงเพาะสำหรับการเพาะโดยเมล็ดที่งอกแล้วประมาณ  30  วัน  และเพาะโดยเมล็ดธรรมดาประมาณ  40  วัน
                ในบางแห่งปลูกโดยการย้ายกล้า  2  ครั้ง  ทั้งนี้เพื่อให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรง  ทนทานและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็วขึ้น  โดยทำการย้ายกล้าครั้งที่  1  เมื่อกล้าโตมีใบจริง  2  ใบ  ย้ายชำในถุงพลาสติกหรือในแปลงใหม่ให้มีระยะห่าง  10-15  ซม.  ในการย้ายกล้านี้ต้องทำอย่างระมัดระวัง  พยายามให้รากติดต้นมากที่สุดก่อนย้ายปลูกในแปลงใหม่  ควรจะรดน้ำแปลงเพาะให้ชุ่ม  ทิ้งไว้      1  ชม.  แล้วใช้ไม้หรือปลายมีดพรวนดินให้ร่วน   ค่อย ๆ ถอนต้นกล้า  อายุในการชำในแปลงใหม่  15-20  วัน  หรือสูงประมาณ  6  นิ้ว  จึงย้ายปลูกได้  เพื่อให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรง  ทนทานต่อสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม  ทำได้โดยการฉีดพ่นสารละลายของน้ำตาลเข้มขน  10%  คือใช้น้ำตาลทราย  10  ส่วน  เติมน้ำลงไปอีก  90  ส่วน  ฉีดทุก ๆ  3  วัน  เป็นเวลา  2  อาทิตย์ก่อนย้ายปลูก  ก่อนทำการฉีดสารละลายน้ำตาลทรายนี้ต้องทำให้ใบพริกเปียกน้ำให้ทั่ว  เพื่อให้ใบดูดซึมน้ำตาลได้เป็นปริมาณสูง
การเตรียมดิน
                ทำการย้ายปลูก  เมื่อกล้าสูงประมาณ  6  นิ้ว  เตรียมดินแปลงปลูก  โดยไถดะตากดินทิ้งไว้ประมาณ  5-7  วัน  ไถพรวน  1  ครั้ง  หลังจากนั้นใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักให้ทั่วแปลงในอัตรา         3-4  ตัน/ไร่  ใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์  สูตร  15-15-15  อัตรา  50  กก./ไร่  หว่านให้ทั่วพื้นที่ปลูก  แล้วพรวนกลบเข้ากับดินแล้วจึงเตรียมแปลงปลูกการเตรียมแปลงปลูก  สามารถทำได้หลายแบบ  แล้วแต่สภาพของพื้นที่ปลูกดังนี้คือ
                1.  ปลูกแบบไม่ยกแปลง  เหมาะสำหรับพื้นที่ ๆ  มีการระบายน้ำดี  ปรับระดับได้สม่ำเสมอ  การปลูกแบบนี้อาจปลูกเป็นแถวเดียว  ใช้ระยะห่างระหว่างแถว  60-70  ซม.  ระหว่างต้น  50  ซม.  หรือปลูกเป็นแถวคู่  ระยะระหว่างแถวคู่  1  เมตร  ระหว่างแถว  50  ซม.  ระหว่างต้น  50  ซม.
                2.  ปลูกแบบยกแปลง  เหมาะสำหรับพื้นที่ปลูกที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง  ระบายน้ำดอกได้ยาก  ขนาดแปลงกว้าง  1.50  เมตร  ร่องน้ำกว้าง  50  ซม.  ลึก  50  ซม.  ปลูก  2  แถว  บนแปลง  โดยมีระยะห่างแถว  0.75-1.00  เมตร  ระหว่างต้น  50  ซม.  หรือปลูกเป็นแถวคู่  1  เมตร  ระหว่างแถว  50  ซม.  ระหว่างต้น  50  ซม.
การปฎิบัติบำรุงรักษา
                พริกเป็นพืชที่ทนแล้งดีกว่าทนน้ำ  แต่ในระยะที่พริกเริ่มออกดอก  พริกจะต้องการน้ำมากกว่าปกติ  พบว่า  การให้น้ำที่ไม่เพียงพอ  และอากาศแห้งแล้งจะทำให้ดอกอ่อน  ดอกบาน  และผลอ่อนที่เพิ่งติดร่วงได้  ในสภาพที่อากาศค่อนข้างเย็น  อุณหภูมิประมาณ  10-15  ซํ.   จะทำให้พริกเจริญเติบโตไม่ค่อยดี  มีการติดดอกต่ำ  และดอกร่วงในที่สุด  การให้น้ำควรจะลดลง  หรืองดในช่วงที่เริ่มทำการเก็บผลพริก  ทั้งนี้เพราะถ้าให้น้ำพริกมากไป  จะทำให้ผลมีสีไม่สวย
                1.  การให้น้ำ   หลังจากปลูกสร้าง  ควรให้น้ำดังนี้
                     -  ช่วง  3  วันแรก  ให้น้ำวันละ  2  ครั้ง  เช้า เย็น
                     -  ช่วง  4  วันต่อมา  ให้น้ำวันละครั้ง
                     -  ช่วงสัปดาห์ที่  2  ถึงสัปดาห์ที่  4  ให้น้ำสัปดาห์ละ  3  ครั้ง
                     -  ช่วงสัปดาห์ที่  5  ถึงสัปดาห์ที่  7  ให้น้ำสัปดาห์ละ  2  ครั้ง
     -  ช่วงสัปดาห์ที่  7  ไปแล้วให้น้ำสัปดาห์ละ  1  ครั้ง  ทั้งนี้  การให้น้ำแก่พริกควรให้ตาม สภาพพื้นที่  และดูความชุ่มชื้นของดินประกอบด้วย
2. การใส่ปุ๋ย  การให้ปุ๋ยพริกขึ้นอยู่กับชนิดและคุณภาพของดินปลูกโดยทั่วไป  ปุ๋ยคอก  อัตรา  3-4  ตันต่อไร่  ผสมกับปุ๋ยวิทยาศาสตร์  15-15-15    อัตรา  50  กก.ต่อไร่  รองพื้นก่อนย้ายปลูกและหลังย้ายปลูกแล้ว  1  เดือน  จึงใส่ปุ๋ยสูตร  15-15-15  ในอัตรา  50  กก.ต่อไร่  อีกครั้งหนึ่ง  วิธีใส่โดยโรยกึ่งกลางระหว่างแถวปลูกแล้วพรวนกลบ  ในระยะนี้เป็นระยะที่พริกเริ่มจะมีตาดอก  (แต่ยังไม่ออกดอก)  มีความต้องการธาตุอาหารเสริมบ้าง  ดังนั้นหลังจากใส่ปุ๋ยแล้ว  1-2  อาทิตย์  ควรฉีดปุ๋ยน้ำ  เช่น  ไบโฟลาน  ให้ทางใบ  ซึ่งพริกจะนำไปใช้ได้เร็วขึ้น  ปุ๋ยน้ำที่ฉีดให้ทางใบนี้ควรให้ทุกครั้งหลังจากเก็บเกี่ยว  โดยฉีดผสมไปกับยาป้องกันกำจัดศัตรูพืช
3. การพรวนดิน   เนื่องจากพริกจะแพร่รากกระจายอยู่ใกล้ผิวดิน  จึงต้องระวังอย่าให้รากกระทบกระเทือน  เพราะจะชงักการเจริญเติบโต  จะทำให้ต้นพริกโค่นล้มง่าย  การให้ปุ๋ยควรขุดหลุมตามบริเวณกว้างของใบพริกที่แผ่ไปถึง  อย่าใส่ชิดโคนต้น
4.  การเก็บเกี่ยว   พริกจะเริ่มให้ผลผลิตหลังจากย้ายปลูกแล้ว  2  เดือนครึ่ง  ถึง  3  เดือน  ในระยะแรกผลผลิตจะได้น้อยและจะค่อย ๆ  เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ  เก็บเกี่ยวอาทิตย์ละ  1  ครั้งผลผลิตจะเริ่มลดลงเมื่อพริกเริ่มแก่  เมื่อพริกอายุได้  6-7  เดือน  หลังย้ายปลูกต้นจะเริ่มโทรมและหยุดให้ผลผลิต  แต่ถ้ามีการดูแลบำรุงรักษาดีพริกจะมีอายุถึง  1  ปี
5.  การเก็บรักษา  ผลพริกเมื่อแก่จัด  จะยังคงทิ้งให้อยู่กับต้นได้อีกชั่วระยะหนึ่ง  โดยไม่เสื่อมคุณภาพแต่ประการใด  การเก็บรักษาพริกให้คงสภาพสดอยู่ได้  ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ  พบว่าอุณหภูมิ  0  ซํ.  ความขึ้น  95-89%  จะเก็บพริกให้คงความสดอยู่ได้นานถึง  40  วัน  โดยมีผลเหี่ยวย่นเพียง  4%  ซึ่งนับว่า  ต่ำมาก  เมื่อเทียบกับการเก็บพืชผักหลายชนิด  และอุณหภูมิ  8-10  ซํ.  ความชื้น  85-90%  จะเก็บพริกสดไว้ได้นาน  8-10  วัน
6.  การทำพริกตามแห้ง   พริกที่จะนำมาตากแห้งต้องเก็บผลแก่จัด  มีสีแดง  ถ้าเก็บมาแล้วมีบางผลที่ยังไม่แก่ควรนำมาสุ่มไว้ในเข่งประมาณ  2  ค้น  เพื่อบ่มให้ผลสุกแดง  แล้วจึงนำออกตากแดดให้แห้งสนิท  ควรเลือกผลที่เน่าออกทิ้งอยู่เสมอ   ข้อควรระวังบอย่าให้พริกที่ต้องการทำพริกแห้งถูกฝน  จะทำให้เกิดโรครา  ราคาตกได้กสิกรบางแห่งนิยมย่างไฟ  โดยการย่างพริกไว้บนแผงหรือตะแกรงแล้วสุมไฟข้างล่าง  คอยหมานกลับพริกให้แห้งทั่วกัน  จะทำให้พริกแห้งเร็วขึ้น  เก็บไว้ได้นานไม่เสียง่าย
การเก็บพริกไว้ทำพันธุ์
                ควรเลือกผลจากต้นที่แข็งแรงและดก ลักษณะผลโตได้ขนาด  รูปร่างดี  ตรง  ยาวไม่หงิกงอ  ผิดรูปทรง  มีลักษณะตรงตามพันธุ์  และไม่เป็นโรค  ควรเลือกผลสำหรับเก็บไว้ทำพันธุ์  จากการเก็บรุ่นที่  3  ทั้งนี้เพราะมีจำนวนเมล็ดมาก  และขนาดของเมล็ดใหญ่สมบูรณ์  เก็บรักษาผลที่เหลือได้ไว้คาต้นจนสุกเต็มที่  จากนั้นนำมาเก็บบ่อไว้ในภาชนะ  เช่น  กระบุง  ประมาณ  2  คืน  จนเนื้อนุ่มแล้ว  ใช้มีดกรีดให้ผลแตก  เคาะเมล็ดออกล้างน้ำสะอาด  แล้วนำไปเกลี่ยบนตะแกรงหรือกระด้ง  ตากแดดให้แห้งสนิทใส่ถุงพลาสติกหรือขวดสะอาด  ปิดผาให้แน่น เก็บไว้ในที่มีอากาศแห้ง  และเย็นอย่าไว้ใกล้เตาไฟ  หรืออยู่ในที่แดดส่องอยู่
โรคพริก  และการป้องกันกำจัด
ชื่อโรค     โรคกล้าเน่าตาย
อาการ       อาการทั่วไปที่เห็นคือต้นกล้าเหี่ยวแห้งตาย
การป้องกัน   
 1. คลุกเมล็ดพันธุ์ด้วยยาป้องกันกำจัดเชื้อรา  หลังจากล้างเมล็ดพันธุ์แล้วควรจะคลุกเมล็ดพันธุ์ด้วยยาป้องกันกำจัดเชื้อรา  เช่น  ไดเทน  เอ็ม  45  ชนิดสีแดง  เพื่อป้องกันเชื้อราในดินเข้าทำอันตรายเมล็ดในขณะที่มีการงอก
2.  เมื่อต้นกล้างอกขึ้นมาเหนือพื้นดินแล้ว  ต้องรีบฉีดยาป้องกันทันทีและจะต้องฉีดพ่นยาทุก  5-7  วันต่อครั้ง  ยาที่ใช้ฉีดพ่นก็เป็นจำพวกยาป้องกันกำจัดเชื้อราทั่ว ๆ  ไป  ที่ใช้ฉีดพ่นบนใบ  เช่น  ชิงโคโฟล,  ไดเทนเอ็ม  45  ฯลฯ  นอกจากนี้ควรฉีดพ่นยาลงไปบนผิวดินด้วยยาที่ใช้ฉีดพ่นไม่ควรใช้ยาที่เป็นสารประกอบพวกทองแดง
















                 พริกจัดว่าเป็นพืชผักที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจพืชหนึ่งของประเทศไทย  เพราะในชีวิตประจำวันของคนไทย  สามารถจะกล่าวได้ว่าทุกครอบครัว  ทุกคนจะต้องใช้พริกในการประกอบอาหารนอกจากนั้นยังนำไปเข้าโรงงานอุตสาหกรรมได้  คือ  ซอสพริก  และยังนำไปประกอบอาหารให้มีรสเผ็ดซึ่งคนไทยจะขาดเสียมิได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น